ร็อบโบ้ชมไทยเล่นดีเชื่อชนยุ่นมีลุ้น,บังยีฉีด1.5ล.ถ้าตัดเชือก
ความเคลื่อนไหวหลังจบการแข่งขันฟุตบอลเอเชียนเกมส์ ที่ทีมฟุตบอลชายไทย เฉือนเอาชนะ เติร์กเมนิสถาน 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษทั้งๆ ที่ทีมชาติไทยเหลือเพียงแค่ 10 ตัวตั้งแต่ น.96
ไบรอัน ร็อบสัน กุนซือทีมชาติไทย เปิดเผยว่า "ทั้งเกมเรามีโอกาสบุกเยอะ น่าจะยิงได้มากกว่านี้ แต่ก็พอใจกับผลชัยชนะ แม้ว่าจะเป็นการยิงประตูเดียวก็ตามที อย่างไรก็ดี เกมนี้ต้องขอชมนักเตะทุกคนเล่นได้ดีกว่า 3 เกมในรอบแรก ทั้งการครอสบอลจากริมเส้นด้านข้าง และการจ่ายบอล สามารถเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม" ร็อบสัน กล่าว
นอกจากนี้กุนซือใหญ่ทีมชาติไทยยังชี้แจงสาเหตุที่ไม่เปลี่ยนตัวนักเตะตลอดทั้ง 90 นาที ว่า "ตนเห็นนักเตะทุกคนยังเล่นกันได้ดีตามแท็กติกที่วางเอาไว้ เลยไม่มีการเปลี่ยนตัว" ต่อข้อซักถามของผู้สื่อข่าวว่า ทำไมไม่เปลี่ยนตัว วิชะยา เดชมิตร ออก ร็อบสัน เผยว่า "วิชะยา เดชมิตร ก็เป็นนักเตะคนหนึ่งที่เล่นได้ดีทั้งเกม ส่วนการยิงจุดโทษไม่เข้า ไม่อยากจะให้นำเอาไปตัดสินว่าเขาไม่ดีพอสำหรับเกมนี้"
ในส่วนของลูกจุดโทษที่ทีมชาติไทยได้ ถูกผู้สื่อข่าวต่างชาติถามว่า สมควรหรือไม่ โดย ไบรอัน ร็อบสัน กล่าวว่า "ลูกนั้นเองสมควรเป็นจุดโทษร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นการทำฟาวล์ อนาวิน จูจีน ชัดเจน ส่วนการยิงจุดโทษ ตนได้ถามนักเตะไทยแล้วว่า ใครจะเป็นคนยิง หากได้จุดโทษ ซึ่งก็มีวิชะยานี่แหละที่ยกมือ บอกขอยิงจุดโทษทุกเกมถ้าได้ ตนเห็นเขามีความมั่นใจเลยอนุญาตให้ยิง"
ขณะเดียวกัน กุนซือชาวอังกฤษยังให้ทรรศนะกับใบแดงของผู้ตัดสินอีกว่า "ตนไม่ค่อยพอใจกับการให้ใบแดงของผู้ตัดสินชาวเลบานอนเลย เพราะว่าลูกนั้นออกไปแล้ว ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้ใบแดงแก่นักเตะไทย แต่อย่างไรก็ดี การเหลือผู้เล่น 10 คน ของไทยยังเล่นได้เหนือกว่าเติร์กเมนนิสถาน ซึ่งเราสมควรได้รับชัยชนะมากกว่า"
ส่วนเกมที่จะเจอกับทีมชาติญี่ปุ่นในรอบก่อนรองชนะเลิศนั้น กุนซือทีมชาติไทย เผยว่า "ญี่ปุ่นเป็นทีมระดับโลก แน่นอนว่า ย่อมมีความแข็งแกร่งกว่าทุกทีมในเอเชีย ขณะเดียวกัน เกมนั้นตนคาดว่าเล่นยากกว่า 3 เกม ในรอบแรก และ รอบสอง เพราะว่าเราเจอแต่ทีมที่เล่นเกมรับ ซึ่งการเจอกับญี่ปุ่นเป็นทีมที่เล่นเกมบุกอยู่แล้ว น่าจะเป็นงานหนักสำหรับทีมชาติไทย แต่อย่างไรก็ดี ตนยังมั่นใจอยู่ลึกๆ ว่ายังมีลุ้น"
ทางด้าน "เสี่ยแฮ๊งค์" อนุชา นาคาศัย ผจก.ทีม เปิดเผยหลังสิ่นสุดการแข่งขันว่า "รู้สึกดีใจมากเกมนี้ ทุกคนรวมใจกันสู้ ถึงแม้ว่าเราจะเล่น 10 คนก็ตามที ส่วนใบแดงของวิชะยาไม่คาดคิดว่าเราจะโดน ซึ่ง"แคมป์-วิชะยา" เขาก็เสียใจมาก แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เกมเจอกับญี่ปุ่นถ้าชนะได้ แน่นอนว่านักเตะรับโบนัสก้อนโตไปเลย"
ส่วน "โก้" ดัสกร ทองเหลา เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งของทีมชาติไทย เผยว่า"ขอบคุณเพื่อนๆ น้องๆ ที่ช่วยกันเล่น จนนำความสำเร็จมาให้กับทีมชาติไทยอีกครั้ง เหนือสิ่งอื่นใดก็ต้องขอบคุณแฟนบอลชาวไทย ทั้งที่เชียร์ถึงขอบสนาม และทั้งประเทศ ในฐานะที่เป็นตัวแทนของนักเตะทีมชาติไทย พวกเราสัญญาว่าจะนำไทยผ่านญี่ปุ่นสู่เป้าหมายในการลุ้นเหรียญรางวัลให้ได้"
ขณะที่ กีรติ เขียวสมบัติ กองหน้าฮีโร่ผู้ซัดประตูชัย เปิดเผยว่า "หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งที่พาทีมชาติไทยเอาชนะเติร์กเมนิสถานได้ ต้องขอบอกว่า เกมนี้ตนมุ่งมั่นทุ่มเทสุดๆ ยอมรับว่า มีโอกาสยิงประตูหลายจังหวะเช่นกัน แต่ยังทำไม่ได้ ค่อนข้างซีเรียส แต่พอยิงได้เหมือนยกภูเขาออกจากอก เกมหน้าถ้ามีโอกาสลงอีกจะต้องยิงให้ได้"
ด้าน"ฟีฟ่ายี" วรวีร์ มะกูดี หนึ่งในบอร์ดบริหารสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ในฐานะนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย หลังผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นว่า "จริงๆ แล้ววันนี้ ผมคิดว่านักเตะทีมชาติไทยเราเล่นได้ดีแล้ว แต่มันอาจจะมีติดขัดบ้าง โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เราได้จุดโทษแต่ดันยิงไม่เข้าถึง 2 ครั้งซ้อน ยิ่งไปกว่านั้นเรายังมาโดน 2 เหลืองในช่วงต่อเวลาพิเศษ และทำให้เราเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 10 ตัว และทำให้เราเป็นรอง แต่สุดท้ายเราก็ยังช่วยกันเอาตัวรอดออกมาได้ด้วยชัยชนะ 1-0 ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองฯ ไปพบกับศึกหนักอย่างทีมชาติญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นตัวเต็งที่จะคว้าเหรียญทองในรายการนี้ และการพบกับญี่ปุ่น ในวันที่ 19 พ.ย. 53 ผมได้ประกาศอัดฉีดให้ลูกทีมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหากสามารถล้มญี่ปุ่นได้ ทีมชาติไทยทั้งคณะจะได้เงินอัดฉีดจากผมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1.5 ล้านบาท ทันที ซึ่งดูแล้วก็มีลุ้นเหมือนกัน หากทุกคนวิ่งสู้ฟัดเหมือนในเกมที่พบกับเติร์กฯ ผมว่าลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น"
ส่วน มินกาซอฟ คามิล กุนซือเติร์กเมนนิสถาน กล่าวภายหลังจบเกมว่า "ต้องยอมรับว่าไทยแข็งแกร่งเกินคาด เกมครึ่งแรกต้องยกให้ว่าเล่นเป็นพระเอก สร้างความปั่นป่วนให้กับแผงหลังของเราได้ทั้งเกม แต่พอปรับแท็กติกมาเล่นในครึ่งหลัง ลูกทีมเล่นดีขึ้น ซึ่งความพ่ายแพ้ครั้งนี้นับว่าเป็นบทเรียนที่จะต้องนำไปแก้ไขต่อไป อีกหลายทัวร์นาเมนต์ข้างหน้า"
0 comments:
Post a Comment